วันศุกร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทุกะ คือ หมวด ๒

ธรรมอันทำให้งาม

      ๑. ขันติ     คือ ความอดทน
       ๒. โสรัจจะ คือ ความเสงี่ยม

ขันติ และ โสรัจจะ ชื่อว่า ธรรมอันทำให้งาม คำว่าทำให้งามนั้น อธิบายว่า ความงามมีอยู่ ๒ ประการ คืองามภายนอก กับ งามภายใน
      ๑. ขันติ แปลว่า ความอดทน เป็นลักษณะของผู้มีมีน้ำใจเข้มแข็งหนักแน่น เป็นสมบัติของนักรบด้วย เป็นมงคลเหตุแห่งความเจริญด้วย
ความอดทนนั้น ว่าโดยลักษณะมี ๓ คือ
     ๑. ตีติกขาขันติ   อดทนด้วยการ กลั้นไว้ได้
     ๒. ตปขันติ        อดทนจนเป็นตบะเดชะ
     ๓. อธิวาสนขันติ อดทนจนยัง คำพูดหยาบคายของผู้อื่น ให้กลับอยู่ เป็นเพื่อน เป็นมิตรกันได้
      ๒. โสรัจจะ แปลว่า ความเสงี่ยม ได้แก่การรู้จักทำจิตใจให้แช่มชื่น ผ่องใส เบิกบาน มีกายวาจา สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เพราะเมื่ออดทนได้แล้ว ก็ไม่แสดงกิริยากาย วาจา ให้ผิดปกติ คนที่ถูกหมิ่นประมาทให้ได้รับความเจ็บใจ ไม่แสดงการโต้ตอบ เพราะอดทนได้ แต่ยังแสดงอาการผิดปกติ เช่น หน้าบูดบึ้งเมื่อเกิดความโกรธขึ้น หรือครวญครางเมื่อทุกขเวทนาครอบงำเป็นต้น  เพราะยังขาดธรรมะคือโสรัจจะ แต่สำหรับผู้มีขันติ อดทนต่อความเจ็บใจได้แล้ว ยังรู้จักทำใจให้สงบแช่มชื่นเบิกบานอีกด้วย คือมีการปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมีธรรมะ คือโสรัจจะ ธรรมข้อนี้ย่อม เข้าสนับสนุน ขันติให้สูงเด่นขึ้น
อธิบายศัพท์
ขันติ แปลว่า ความอดทน เป็นลักษณะของผู้มีมีน้ำใจเข้มแข็งหนักแน่น เป็นสมบัติของนักรบ เหมือนช้างที่ออกสู่สงครามจะต้องเป็นช้างที่อดทนต่อภัยอันตรายจากข้าศึก ความอดทนเป็นคุณสมบัติของนักปกครองด้วย เป็นมงคลเหตุแห่งความเจริญด้วย.
     ขันติ เป็นคำพูดง่าย ๆ แต่แฝงไว้ซึ่งความหมายอย่างลึกซึ้ง เพราะมักจะได้ฟังและใช้พูดกันอยู่เสมอว่า น้ำอด น้ำทน อดได้ ทนได้ หรือ น้ำใจทรหดอดทน ความอดทนนี้ เป็นหลักคำสอนสำคัญประการหนึ่งซึ่งเห็นได้จากการที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเรื่องวันสำคัญของศาสนา วันนั้นคือวันมาฆบูชา พระองค์ได้ประทานพระโอวาท คือ โอวาปาฏิโมกข์เป็นการแสดงหลักธรรมอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนาในที่ประชุมสงฆ์ว่า " ความอดกลั้นคือความทนทานเป็นตบะธรรมอย่างยอด " ดังนี้เป็นต้น.
ความอดทนในที่นี้ หมายเอาความอดทนในฝ่ายดีอย่างเดียว ซึ่งเป็นไปทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม ว่าโดยประเภทมี ๓ คือ :-
. อดทนต่อความลำบากตรากตรำ เช่น ทนหนาว ทนร้อนทนต่อคำสั่งสอน ทนในการศึกษาเล่าเรียน และทนในการประกอบการงานอาชีพ ด้วยความชื่อสัตย์สุจริต.
. อดทนต่อทุกขเวทนา เช่นเมื่อเวลาเกิดอาพาธภายใน หรือกายเป็นบาดแผลเป็นต้น ไม่แสดงอาการทุรนทุรายวุ่นวายจนเกินกว่าเหตุไป.
. อดทนต่อความเจ็บใจ เช่นในคราวที่ได้ประสบอนิฏฐารมณ์ มีคำด่าว่า เสียดสี คำสาปแช่งของผู้อื่นเป็นต้น.ความอดทนนั้น ว่าโดยลักษณะมี ๓ คือ :-
. ตีติกขาขันติ อดทนด้วยการกลั้นไว้ได้.
. ตปขันติ อดทนจนเป็นตบะเดชะ.
. อธิวาสนขันติ อดทนจนยังคำพูดหยาบคายของผู้อื่นให้กลับอยู่เป็นเพื่อนเป็นมิตรกันได้.
ตีติกขาขันติ อดทนด้วยการกลั้นไว้ได้ นั้น ข้อนี้ต้องใช้สตินึกอยู่เสมอว่า คนที่อยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นคณะ ต้องกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นธรรมดา ถ้าได้ยินได้ฟังเสียงที่ไม่เพราะหู ก็ต้องอดทน โดยนำเอาความดีเข้าต่อสู้เพื่อชนะความไม่ดีนั้น และไม่ก่อเหตุวิวาททุ่มเถียงกันขึ้นไม่ต้องทะเลาะวิวาทกันเพราะคำพูด.
ตปขันติ อดทนจนเป็นตบะเดชะ นั้น ข้อนี้มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นไปอีก คนที่อยู่นิ่ง ๆ เฉย ๆ คอยระวังคำพูดของตนอยู่เสมอ โดยมากมักจะเป็นคนมีตบะทุกคน คนที่พูดมากจู้จี้ขี้บ่นจนรำคาญ ว่าคนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง มักจะเสียตบะ เพราะจะทำให้คนอื่นขาดความเคารพเกรงกลัว ส่วนคนที่มีความระวังเคร่งขรึมไม่ค่อยจู้จี้กับใคร พูดบ้างเป็นครั้งคราว มักจะมีคนเกรงกลัว มีตบะเดชะอยู่ในตัว และอดทนเผาความชั่วในจิตให้หมดไป.
อธิวาสนขันติ ได้แก่การทนได้ ธารได้เหมือนลักษณะของแผ่นดิน แม้ต้นไม้ ภูเขา และอื่น ๆ แผ่นดินก็ยังทรงไว้ได้ อดทนจนเปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดี คือยอมรับความลำบากกายลำบากใจ ยอมรับด้วยใบหน้าชื่นบาน เขาจะตำหนิติเตียน ด่าว่า หยาบคายเสียดสีให้เจ็บใจอย่างไรก็ทนได้ ไม่แสดงการโต้ตอบ ในที่สุดเรื่องก็สงบไปเอง พระบรมศาสดาถูกพรรคพวกของนางมาคัณฑิยาใส่ความปริภาษพระองค์ด้วยคำด่าต่าง ๆ นานา กล่าวหาว่าพระองค์เป็นอูฐ เป็นลาเป็นต้นถึง ๗ วัน พระองค์ก็ไม่หวั่นไหว พระอานนท์กราบทูลให้เสด็จหนีไปสู่เมืองอื่น พระองค์กลับตรัสถามว่า ถ้าถูกคนในเมืองนั้นด่าอีกจะทำอย่างไร พระอานนท์ทูลว่า หนีไปเมืองอื่นอีก พระองค์ตรัสซักว่าถ้าถูกคนเมืองนั้นด่าอีกจะทำอย่างไร พระอานนท์ก็ทูลว่า หนีไปเมืองอื่น ๆต่อไป พระองค์ตรัสว่า อย่างนั้นไม่สมควร เรื่องเกิดที่ไหน ควรให้ระงับไปในที่นั้น.
โสรัจจะ แปลว่า ความเสงี่ยม ได้แก่การรู้จักทำจิตใจให้แช่มชื่นผ่องใสเบิกบาน มีกายวาจาสงบเสงี่ยมเรียบร้อย เพราะเมื่ออดทนได้แล้วก็ไม่แสดงกิริยากาย วาจา ให้ผิดปกติ คนที่ถูกหมิ่นประมาทให้ได้รับความเจ็บใจ ไม่แสดงการโต้ตอบ เพราะอดทนได้ แต่ยังแสดงอาการผิดปกติ เช่น หน้าบูดบึ้งเมื่อเกิดความโกรธขึ้น หรือครวญครางเมื่อทุกขเวทนาครอบงำเป็นต้น เพราะยังขาดธรรมะคือโสรัจจะ. แต่สำหรับผู้มีขันติ อดทนต่อความเจ็บใจได้แล้ว ยังรู้จักทำใจให้สงบแช่มชื่นเบิกบานอีกด้วย คือมีการปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะมีธรรมะคือโสรัจจะ ธรรมข้อนี้ย่อมเข้าสนับสนุนขันติให้สูงเด่นขึ้น.
อธิบายชื่อหมวดธรรม

        ขันติ และ โสรัจจะ ชื่อว่า ธรรมอันทำให้งาม คำว่า ทำให้งามนั้น อธิบายว่า ความงามมีอยู่ ๒ ประการ คืองามภายนอก ๑ งามภายใน ๑ ความสะสวยงดงามของรูปกายอันธรรมดาปรุงแต่งมาแต่กำเนิดและอาศัยการตกแต่งด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ต่าง ๆ ชื่อว่าความงามภายนอกอันความงามภายนอกนี้ ย่อมเป็นที่นิยมกันทั่วไป ซึ่งได้ในคำว่า "ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง " แต่ถึงดังนั้นก็ตาม บุคคลจะอาศัยแต่ความงามภายนอกอย่างเดียวนั้นไม่พอ ต้องอาศัยความงามภายในเข้าสนับสนุนด้วยจึงจะเป็นคนงามโดยสมบูรณ์ อาการที่ใจสงบ อดทนไว้ได้แม้ในขณะที่มีอารมณ์ชั่วร้ายมากระทบกระทั่งก็ไม่แสดงออกให้ปรากฏทางกายและวาจา ชื่อว่าความงามภายใน อันความงามภายในนั้น เป็นความงามที่นิยมกันยิ่งนักในพระศาสนา เพราะผู้ที่สมบูรณ์ด้วยขันติและโสรัจจะย่อมมีใจหนักแน่น ไม่แสดงอาการสูง ๆ ต่ำ ๆ แม้จะประสบความดีใจหรือเสียใจก็อดกลั้นได้ รักษากาย วาจา ใจ ให้สุภาพเรียบร้อยเป็นปกติ สมภาวะของตน น่าเคารพนับถือ พระบรมศาสดาได้ตรัสแก่เหล่าภิกษุชาวเมืองโกสัมพี ผู้แตกความสามัคคีกันว่า... ข้อที่เธอทั้งหลายผู้บวชแล้วในพระธรรมวินัยที่เรากล่าวชอบแล้วอย่างนี้ ควรเป็นผู้อดกลั้นและเป็นผู้สงบเสงี่ยม จะพึงงามในพระธรรมวินัยนี้แล ภิกษุทั้งหลาย..
   การที่บุคคลมารักษา ควบคุมใจให้อดทนต่อกิเลสและผัสสะ จนสงบระงับได้ ชื่อว่าได้เจริญสมาธิ เพราะฉะนั้น ขันติและโสรัจจะ  จึงจัดเข้าในไตรสิกขาข้อว่า สมาธิสิกขา หรือจิตตสิกขา ได้ด้วย.
                       
                      

                            ที่มา:หนังสือนักธรรมชั้นตรี

ทุกะ หมวด ๒

บุคคลหาได้ยาก ๒ อย่าง

บุพพการี คือ บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน
กตัญญูกตเวที คือ บุคคลผู้รู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว และตอบแทน 

อธิบายบุคคลหาได้ยาก ๒ อย่าง
 บุพพการีและกตัญญูกตเวทีบุคคลทั้ง ๒ พวกนี้ ชื่อว่า บุคคลหาได้ยากเพราะบุคคลผู้มีหน้าที่ทำอุปการะก่อน ได้ทำกิจตามหน้าที่ ได้ทำอุปการะก่อน ชื่อว่าบุคคลหาได้ยาก ส่วนบุคคลผู้ได้รับอุปการะจากผู้อื่นจนได้มีความสุขสบายแล้ว มีความสำนึกถึงบุญคุณของท่านผู้ให้อุปการะแล้วตอบแทน ให้สมควรแก่กันนั้น หาได้ยาก
     ๑. บุพพการี แปลว่า บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน ได้แก่บุคคลผู้มีอัธยาศัยเผื่อแผ่ ประกอบด้วยพรหมวิหารธรรมประจำอยู่ในใจ ไม่คิดอยากได้แต่ฝ่ายเดียว ตั้งใจทำอุปการคุณ จะมากหรือน้อยก็ตาม โดยไม่หวังตอบแทนแต่อย่างใด บุพพการีโดยทั่วไปท่านกำหนดว่ามี ๔ ประเภทคือ
     ๑. มารดาบิดา
     ๒. ครู อาจารย์ อุปัชฌาย์
     ๓. พระมหากษัตริย์
     ๔. พระพุทธเจ้า
     กตัญญู แปลว่า ผู้รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตน กตเวที แปลว่า ผู้ประกาศคุณนั้นให้ปรากฏ รวมเป็น กตัญญูกตเวที แปลว่า ผู้รู้อุปการคุณที่ท่านทำแล้วและตอบแทน.หมายความว่า ผู้ระลึกถึงอยู่เนือง ๆ ซึ่งอุปการคุณ ที่ท่านบุพพการีนั้น ๆ ได้กระทำให้แก่ตน และเมื่อได้โอกาสก็ตอบแทนคุณตามควรแก่ฐานะภาวะและกาลสมัย เหมือน บุตรธิดาเป็นลูกหนี้มารดาบิดา นักเรียนศิษย์เป็นลูกหนี้ครูอาจารย์
     กตัญญูกตเวทิตาธรรมนี้ ในที่บางแห่งเรียกว่า "สัปปุริสภูมิ"   คือเป็นภูมิธรรมของสัตบุรุษคือคนดี, อันคนดีนั้นจะประกอบกรณีย์ใด ๆ ย่อมอาศัยธรรมข้อนี้เป็นหลักเสมอ ท่านเปรียบไว้ว่า "พื้นแผ่นดินเป็นที่รับรอง เป็นที่อาศัยของสัตว์และพฤกษาลดาชาติ ฉันใด กตัญญูกตเวทิตาธรรม ก็เป็นพื้นฐานแห่งจิตของสัตบุรุษ ฉันนั้น
อธิบายศัพท์
บุพพการี แปลว่า บุคคลผู้ทำอุปการะก่อน ได้แก่บุคคลผู้มีอัธยาศัยเผื่อแผ่ ประกอบด้วยพรหมวิหารธรรมประจำอยู่ในใจ ไม่คิดอยากได้แต่ฝ่ายเดียว ตั้งใจทำอุปการคุณ จะมากหรือน้อยก็ตาม โดยไม่หวังตอบแทนแต่อย่างใด และไม่เกี่ยวกับบุคคลผู้ซื้อขาย ซึ่งจะต้องมีสิ่งของแลกเปลี่ยนกัน. บุพพการีโดยทั่วไปท่านกำหนดว่ามี ๔ ประเภทคือ
. มารดาบิดา   ๒. ครูอาจารย์ อุปัชฌาย์ ๓. พระมหากษัตริย์ . พระพุทธเจ้า.
    
    มารดาบิดา ได้ชื่อว่าเป็นบุพพการีของบุตรธิดา เพราะเป็นผู้ให้กำเนิด ให้เลือดเนื้อชีวิตจิตใจ ตลอดถึงให้อาหาร เครื่องนุ่งห่มเป็นต้นแก่บุตรธิดา และมีหน้าที่ที่จะต้องบำรุงบุตรธิดาให้เป็นสุขตามหลัก ๕ประการ คือ ๑. ห้ามมิให้ทำความชั่ว ๒. สอนให้ตั้งอยู่ในความดี ๓. ให้ศึกษาศิลปวิทยา ๔. หาคู่ครองที่สมควรให้ ๕. มอบทรัพย์สมบัติให้ในสมัย.

ครู อาจารย์ อุปัชฌาย์ ได้ชื่อว่าเป็นบุพพการีของนักเรียนศิษยานุศิษย์ เพราะเป็นผู้มีหน้าที่แนะนำสั่งสอนอบรมให้มีความรู้ความสามารถ จนกระทั่งตั้งตนเป็นพลเมืองดี ซึ่งมีหลักที่จะต้องปฏิบัติ ๕ ประการ คือ ๑. แนะนำดี ๒. ให้เรียนดี ๓. บอกศิลปให้สิ้นเชิงไม่ปิดบังอำพราง ๔. ยกย่องให้ปรากฏในเพื่อนฝูง ๕. ทำความป้องกันในทิศทั้งหลาย (คือจะไปทิศไหนก็ไม่ให้อดอยาก) หน้าที่ทั้ง ๕ ประการนี้ ครูอาจารย์หรืออุปัชฌาย์ ต้องปฏิบัติให้บริบูรณ์ ถ้าขาดไปแม้เพียงบางข้อบางประการ ก็ชื่อว่าบกพร่องในหน้าที่ของบุพพการี.

พระมหากษัตริย์ ได้ชื่อว่าทรงเป็นบุพพการีของประชาราษฎร์เพราะทรงมีหน้าที่ปกครองไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ผู้อาศัยอยู่ในประเทศให้มีความร่มเย็นเป็นสุข โดยที่พระองค์ต้องทรงปฏิบัติทศพิธราชธรรม คือธรรมสำหรับพระราชา ๑๐ ประการ คือ ๑. ทาน ๒. ศีล ๓. บริจาค ๔. ความซื่อตรง ๕. ความอ่อนโยน ๖. คอยกำจัดคนชั่ว ๗. ความไม่โกรธ ๘. การไม่เบียดเบียน ๙. ความอดทน ๑๐. ความไม่ผิดในทุกกรณีย์.

พระพุทธเจ้า ได้ชื่อว่าทรงเป็นบุพพการีของพุทธบริษัท เพราะทรงมีพระมหากรุณาอันกว้างขวางโดยไม่มีขอบเขต ทรงประทานพระ-ธรรมเทศนาสั่งสอนเวไนยชน ด้วยหลัก ๓ ประการ คือ ๑. ทรงห้ามมิให้ทำบาปทั้งปวง ๒. ทรงสอนให้ทำบุญกุศลทุกอย่าง ๓. ทรงสอนให้ทำจิตให้ผ่องใส.

กตัญญู แปลว่า ผู้รู้อุปการคุณที่ผู้อื่นทำแล้วแก่ตน, กตเวทีแปลว่า ผู้ประกาศคุณนั้นให้ปรากฏ ได้แก่ผู้ตอบแทนคุณ. รวมเป็นกตัญญูกตเวที แปลว่า ผู้รู้อุปการคุณที่ท่านทำแล้วและตอบแทน.หมายความว่า ผู้ระลึกถึงอยู่เนือง ๆ ซึ่งอุปการคุณ ที่ท่านบุพพการีนั้น ๆได้กระทำให้แก่ตน และเมื่อได้โอกาสก็ตอบแทนคุณตามควรแก่ฐานะภาวะและกาลสมัย เหมือนบุคคลที่กู้หนี้ท่านมา ครั้นได้เวลาก็ชำระหนี้ให้ท่าน คนเราทุกคนที่เกิดมาย่อมชื่อว่าเป็นลูกหนี้ เช่นบุตรธิดาเป็นลูกหนี้มารดาบิดา, นักเรียนศิษย์เป็นลูกหนี้ครูอาจารย์, ประชาราษฎร์เป็นลูกหนี้พระมหากษัตริย์, นักเรียนศิษย์เป็นลูกหนี้พระพุทธเจ้า.
     เมื่เป็นลูกหนี้โดยที่เป็นหนี้บุญคุณท่านอยู่เช่นนี้ จึงสมควรที่จะต้องตอบแทนคุณท่าน จึงจะชื่อว่าเป็นการเปลื้องหนี้ได้ ผู้ที่เปลื้องหนี้ด้วยการตอบแทนคุณท่านได้แล้ว จึงชื่อว่า กตัญญูกตเวที โดยทั่วไปท่านกำหนดว่ามี ๔ประเภท คือ ๑. บุตรธิดา ๒. นักเรียนศิษยานุศิษย์ ๓. ประชาราษฏร์๔. พุทธบริษัท.

    บุตรธิดา เมื่อระลึกถึงคุณมารดาบิดาแล้ว จึงบำรุงเลี้ยงดูและถนอมน้ำใจท่านมิให้เดือดร้อน ซึ่งมีหลักแห่งการบำรุง ๕ ประการ คือ ๑. ท่านเลี้ยงเรามาแล้ว เราต้องเลี้ยงท่านตอบ ๒. ช่วยทำกิจของท่าน ๓. ดำรงวงศ์สกุลไม่ให้เสื่อมเสียชื่อเสียง ๔. ประพฤติตนให้เป็นคนสมควรรับมรดก ๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วทำบุญอุทิศให้ท่าน.
นักเรียนศิษยานุศิษย์ เมื่อระลึกถึงคุณของครูอาจารย์แล้ว จึงควรตอบแทนคุณของท่านตามหลัก ๕ ประการ คือ ๑. แสดงความเคารพนอบน้อมด้วยการลุกขึ้นยืนรับ ๒. คอยรับใช้ไม่ดูดายในเมื่อท่านมีธุรกิจ ๓. เชื่อฟังคำสั่งสอนไม่ดื้อด้าน ๔. อุปฐากบำรุงท่านด้วยการอำนวยความสุขสบายตามสมควร ๕. ตั้งใจเล่าเรียนศิลปวิทยาโดยเคารพ.
ประชาราษฏร์ เมื่อระลึกถึงพระคุณของพระมหากษัตริย์แล้ว จึงควรตอบแทนพระองค์ท่านด้วยการตั้งใจประพฤติตนเป็นพลเมืองดี ไม่ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติที่ทรงแต่งตั้งไว้ และมีความจงรักภักดีเคารพบูชาด้วยการปฏิบัติตามพระบรมราโชวาทที่พระราชทานซึ่งมีประการต่าง ๆ.
พุทธบริษัท เมื่อระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงควรตอบแทนด้วยการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม กล่าวคือตั้งใจบูชาพระพุทธเจ้าด้วยการงดเว้นจากข้อที่ทรงห้าม ทำตามข้อที่ทรงพระอนุญาตทุกประการ.
เมื่อบุคคลมาระลึกถึงหนี้บุญคุณแล้ว ได้เปลื้องหนี้ด้วยการประพฤติปฏิบัติชอบตอบแทนคุณโดยควรแก่ฐานะ และถูกต้องตามประเภทดังกล่าวมา จึงได้ชื่อว่า "กตัญญูกตเวที" โดยสมบูรณ์ ผู้เช่นนี้ย่อมเป็นที่นิยมชมชอบของคนทั่วไป เพราะรู้จักคุณความดีที่ผู้อื่นทำไว้แก่ตน แล้วตอบแทนตามสมควร และผู้เช่นนี้ย่อมมีความสุขความเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไม่เสื่อมเลย

พึงดูตัวอย่าง สุวรรณสามโพธิสัตว์ยอดกตัญญู ตั้งใจเลี้ยงดูมารดาบิดาผู้ตาบอด แม้ถูกกบิลยักษ์ยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษสลบไปแล้ว แต่กลับฟื้นคืนชีพมาได้ ด้วยเดชแห่งความกตัญญูกตเวทีแท้ ๆ. อนึ่ง อุปติสส-ปริพาชก ได้ฟังคำสอนจากพระอัสสชิเถระเพียงนิดหน่อย ตั้งใจปฏิบัติตามก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล ได้เป็นพระอริยบุคคลทางพระพุทธศาสนาต่อมาได้บวชเป็นภิกษุแล้ว ปฏิบัติตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสอนจนได้บรรลุถึงพระอรหัตตผล นับว่าเจริญถึงขั้นสูงสุด นี้ก็เป็นผลของกตัญญูกตเวทีเหมือนกัน และเมื่อท่านทราบว่าพระอัสสชิเถระผู้อาจารย์อยู่ทิศใด ก็กราบไหว้แล้วนอนผันศีรษะไปทางทิศนั้นเสมอ ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยความกตัญญูกตเวทีนั่นเอง.

กตัญญูกตเวทิตา ความเป็นผู้รู้อุปการะที่ผู้อื่นกระทำแล้วและตอบแทน เป็นเครื่องหมายของคนดี. คนในโลกนี้มี ๒ จำพวก คือสาธุชน คนดี ๑ อสาธุชน คนไม่ดี ๑ ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่อง หมายของคนดี ส่วนคนที่ขาดคุณธรรมข้อนี้ ก็แสดงว่าเป็นคนไม่ดี,เป็นคนอกตัญญู ใคร ๆ ไม่ควรคบ. โบราณท่านสอนกันมาว่า " แม้แผ่นดินจะไร้หญ้า ก็อย่าคบค้าคนอกตัญญู " มีพระพุทธภาษิตว่า" ถึงจะให้แผ่นดินทั้งหมด (คือยกให้เป็นผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในแผ่นดินทั้งโลก) ก็ไม่อาจที่จะให้คนอกตัญญูยินดี มีความรู้สึกบุญคุณได้ "ทั้งนี้ก็เพราะคนอกตัญญูนั้นไม่รู้บุญคุณของใคร ๆ แม้จะให้ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่ในแผ่นดินทั้งหมด เขาก็ยังไม่รู้จักบุญคุณ คอยแต่จะประทุษร้ายผู้มีบุญคุณแก่ตนเสียอีก " ในคราวตกทุกข์ยากก็เข้าหา ครั้นสมปรารถนาแล้วเบือนหนี บางทีก็ทำลาย " เลี้ยงคนอกตัญญูก็เหมือนเลี้ยงอสรพิษ เหมือนชาวนาช่วยเหลืองูเห่าฉะนั้น เพราะเหตุนี้ ท่านจึงห้ามมิให้คบคนอกตัญญู. ไม้ผุ ๆ ที่ลอยน้ำมา ท่านสอนว่าให้เก็บขึ้นไว้ทำประโยชน์ได้ ส่วนคนอกตัญญูปล่อยให้น้ำพัดพาไปเสียเถิด อย่าเก็บไว้เลย.
กตัญญูกตเวทิตาธรรมนี้ ในที่บางแห่งเรียกว่า " สัปปุริสภูมิ " คือเป็นภูมิธรรมของสัตบุรุษคือคนดี, อันคนดีนั้นจะประกอบกรณีย์ใด ๆย่อมอาศัยธรรมข้อนี้เป็นหลักเสมอ ท่านเปรียบไว้ว่า "พื้นแผ่นดินเป็นที่รับรอง เป็นที่อาศัยของสัตว์และพฤกษาลดาชาต ฉันใด กตัญญูกต-เวทิตาธรรม ก็เป็นพื้นฐานแห่งจิตของสัตบุรุษ ฉันนั้น. "

อธิบายชื่อหมวดธรรม
บุพพการีและกตัญญูกตเวที บุคคลทั้ง ๒ พวกนี้ ชื่อว่า " บุคคลหาได้ยาก " เพราะการที่บุคคลผู้มีหน้าที่ทำอุปการะก่อน ได้ทำกิจตามหน้าที่ก็ดี แม้ไม่มีหน้าที่ทำอุปการะก่อน แต่ก็ได้ทำอุปการะก่อนก็ดีชื่อว่าบุคคลหาได้ยาก เพราะคนโดยมากมีน้ำใจตระหนถี่เหนี่ยว คิดแต่จะได้ฝ่ายเดียว ไม่ยอมเสียสละ ไม่คิดทำอุปการะแก่ผู้อื่น. ส่วนบุคคลผู้ได้รับอุปการะจากผู้อื่นจนได้มีความสุขสบายแล้ว มีความสำนึกถึงบุญคุณของท่านผู้ให้อุปการะแล้วตอบแทน ให้สมควรแก่กันนั้น หาได้ยาก เพราะคนโดยมามักลืมตัว บางคนก็เพียงแต่นึกถึงบุญคุณได้ แต่ไม่ยอมตอบแทน เหมือนคนกู้หนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ดีอยู่ว่าเป็นหนี้เขา แต่ไม่ยอมใช้หนี้คอยหลบหน้าเจ้าหนี้อยู่เสมอไป คนที่ตั้งใจชำระหนี้บุญคุณจึงหาได้ยาก.
จึงเป็นอันว่าบุพพการีและกตัญญูกตเวทีบุคคล ทั้ง ๒ พวกนี้จะได้ปฏิบัติหน้าที่ต่อกันให้สมบูรณ์ควบคู่กันไปนั้น หาได้ยาก เพราะเป็นการปฏิบัติที่ทวนกระแสกิเลสของสัตวโลก ซึ่งมีความโลภ ความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ไม่อยากแผ่เผื่อเจือจานแก่ผู้อื่น ฉะนั้น การสงเคราะห์ผู้อื่นด้วยความเมตตากรุณาก็ดี การรู้จักคุณแล้วตอบแทนด้วยหวังบูชาคุณก็ดีจึงเป็นการยาก ดังนี้แล.

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทุกะ คือ หมวด ๒



                                                    ธรรมคุ้มครองโลก ๒ อย่าง

                                              หิริ แปลว่า ความละอายแก่ใจ

                                            โอตตัปปะ แปลว่า ความเกรงกลัว

อธิบายตามศัพท์

๑. หิริ แปลว่าความละอายแก่ใจ. ได้แก่ความละอายใจในการ
ประพฤติชั่ว.ความละอายแก่ใจ ในขณะกำลังจะทำชั่ว ทั้งทางกาย วาจา ใจ รู้สึกขยะแขยงใจ ไม่กล้าทำความชั่ว มีความรังเกียจบาป มีกายทุจริต เป็นต้น มีความเคารพยำเกรง เป็นลักษณะ อธิบายว่า บางคนเกิดความละอาย อันมีความเคารพเป็นลักษณะโดยเหตุ ๔ อย่าง คือ เคารพชาติตระกูลเป็นสำคัญ เคารพครูอาจารย์เป็นสำคัญ เคารพทรัพย์มรดกเป็นสำคัญ เคารพคนประพฤติดีเป็นสำคัญ แล้วไม่กระทำความชั่ว. และหิรินี้ มีเหตุภายในเป็นสมุฏฐาน อธิบายว่า บางคนคำนึงถึงชาติ วัย กำลังความรู้ของตนว่าเป็นอย่างนี้ ๆ แล้ว ปลงใจว่าไม่ควรทำบาป แล้วก็ไม่ทำนี้ชื่อว่า เกิดความละอายเพราะเหตุภายใน.
หิริ มีการปรารภตนเป็นใหญ่ อธิบายว่า บางคนทำตนให้เป็นใหญ่ คำนึงว่าการทำบาปไม่ควรแก่เราผู้มีภาวะอย่างนี้ ๆ แล้วไม่ยอมทำบาป. หิรินี้ทรงตัวอยู่ได้ด้วยอาการที่กระดากอายนั่นเอง คือถ้าหมดยางอายเสียแล้วก็เป็นอันว่าไม่มีหิริ.

ท่านกล่าวอุปมาไว้ว่า คนรักสวยรักงาม เกลียดของสกปรก รู้อยู่ ย่อมละอาย ไม่ย่อมแตะต้องก้อนเหล็กแม้เย็นแต่เปื้อนคูถฉันใด คนมีหิริก็ไม่ยอมแตะต้องบาปอันเปรียบด้วยคูถฉันนั้น.

๒. โอตตัปปะ แปล ว่า ความเกรงกลัว ได้แก่ความหวาดกลัวผลชั่ว ไม่กล้าทำเหตุชั่ว. ความเกรงกลัวต่อบาปทุจริต คิดเห็นภัยที่เกิดจากการทำความชั่ว ในอภิธัมมัตถวิภาวินี ว่า โอตตัปปะนั้น มีความสะดุ้ง ต่อบาป เป็นลักษณะ ในอิติวุตตกวัณณนา ว่า โอตตัปปะ มีความเป็นผู้กลัวโทษ และเห็นแจ้งซึ่งภัย เป็นลักษณะ
อธิบายว่า บางคนเกิดความสะดุ้ง อันมีความกลัวโทษ เห็นภัยเป็นลักษณะโดยเหตุ ๔ อย่างคือ กลัวตนเองติเตียนตนเองได้ กลัวผู้อื่นติเตียน กลัวอาชญา กลัวทุคติ แล้วไม่ทำความชั่ว. และโอตตัปปะ มีเหตุภายนอกเป็นสมุฏ-ฐาน.

อธิบายว่า บางคนพิจารณาเห็นว่า ถ้าเราทำชั่ว. ก็จักถูกติเตียนในสังคม วิญญูชนจักตำหนิรังเกียจเรา เหมือนชาวเมืองเกลียดของโสโครกเราถูกผู้มีศีลทอดทิ้งแล้ว จักทำอย่างไร ดังนี้แล้วไม่ทำความชั่ว เพราะความกลัวอันเกิดขึ้นจากเหตุภายนอก.

อนึ่ง โอตตัปปะนี้มีการปรารภโลกเป็นใหญ่ อธิบายว่า บางคนทำโลกให้เป็นใหญ่ คือปรารภว่าโลกนี้ กว้างใหญ่ไพศาล พวกมีฤทธิ์ ตาทิพย์ หูทิพย์ และรู้จิตคนอื่นมีอยู่ เขาคงรู้เห็น หากเราทำชั่วแม้ในที่ไกลที่ลับอย่างไร เขาคงติเตียนได้ ดังนี้แล้วไม่ทำชั่ว.

โอตตัปปะนี้ ทรงตัวอยู่ได้ด้วยความกลัวอบายคือความเสื่อมกล่าวคือ ถ้าไม่กลัวความเสื่อมความพินาศฉิบหายแล้ว ก็เป็นอันว่าไม่มี

โอตตัปปะ ท่านกล่าวอุปมาไว้ว่า คนผู้รักชีวิต รู้อยู่ ย่อมเกรงกลัวไม่กล้าจับเหล็กที่ร้อน หรืออสรพิษ หรือสัตว์ร้ายฉันใด คนมีโอตตัปปะย่อมไม่กล้าแตะต้องความชั่ว อันเปรียบด้วยของร้อน หรืออสรพิษ หรือสัตว์ร้ายฉันนั้น.

หิริ และ โอตตัปปะ ทั้งสองนี้ ชื่อว่า เป็นโลกบาล คุ้มครองโลก

โดยอธิบายว่า ธรรมเหล่านี้ย่อมคุ้มครอง คือป้องกันรักษาโลกคือหมู่สัตว์อันได้แก่สัตว์ผู้ข้องอยู่ในโลกทุกจำพวก ให้ดำรงอยู่โดยสันติสุขตามวิสัยของสัตวโลก.

กฎแห่งกรรมมีอยู่ว่า กรรมดีเป็นเหตุแห่งสุข กรรมชั่วเป็นเหตุแห่งทุกข์ ผู้ทำกรรมอย่างใด ย่อมได้รับผลอย่างนั้น และผลนั้น บางอย่าง บางคราว กระทบกระเทือน ไปถึงผู้อื่นที่เกี่ยวข้องด้วย ไม่มาก ก็น้อย ถึงเช่นนั้น ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยินดีพอใจ ทำกรรมชั่วในที่เปิดเผยบ้าง ลี้ลับบ้าง ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบความทุกข์ แต่ก็จำต้องได้รับทุกข์ระทมขมขื่น ดังที่เห็น ๆ กันอยู่ การที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะผู้ทำกรรมชั่วนั้น ขาดหิริโอตตัปปะนี้เอง.

เมื่อขาดธรรมะสองข้อนี้แล้วจะทำชั่วอย่างใดก็ได้ ในบาลี กล่าวว่าสัตวโลกก็จะพึงสมสู่กันเหมือนสัตว์ดิรัจฉานโดยไม่มีการเคารพยำเกรงว่า ผู้นี้เป็นมารดา ป้า น้า พี่ น้อง ครูอาจารย์ เป็นต้น.

ใครเล่าจะห้ามปรามเขาได้ เมื่อสัตวโลกทำชั่วแล้ว ใครเล่าจะคุ้มครองโลกให้ตั้งอยู่ในสันติสุขได้ หลวงพ่อขลัง ๆ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือผู้มีฤทธิ์อำนาจ แม้พระราชกำหนดกฎหมายก็คุ้มไม่อยู่.

แต่ถ้าสัตวโลกมีธรรมสองประการนี้ประจำใจกันแล้ว แม้ไม่มีหลวงพ่อขลัง ๆ จนกระทั่งกฎหมายก็ไม่ต้องมี ธรรมสองประการนี้ยังคุ้มอยู่ได้. เพราะผู้มีหิริโอต-ตัปปะประจำใจ ย่อมรังเกียจเกลียดกลัวต่อความชั่ว ไม่กล้าทำชั่วทุกอย่างทั้งในที่ลับและที่แจ้ง รู้จักเหนี่ยวรั้งยับยั้งปราบปรามจิตใจไม่ให้ประพฤติชั่ว เมื่อต่างไม่ประพฤติชั่ว ความเบียดเบียนกันและกัน ก็จะไม่มี คนทั้งหลายก็จะอยู่เย็นเป็นสุข ไม่มีทุกข์เดือดร้อน ต่างตั้งหน้าทำมาหากินด้วยความสุจริต โลกก็ปราศจากความวุ่นวาย ได้ประสบสันติสุข

คุ้มครองโลก ให้อยู่กันด้วยความรัก สามัคคี ไม่มีความอาฆาตพยาบาท ปองร้ายกันและกัน ทำให้การเป็นอยู่ร่วมกัน มีความสงบสุขร่มเย็น ธรรมเป็นโลกบาล (ธรรมคุ้มครองโลก) มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ โลกปาลธมฺโม ” โลกตั้งอยู่ได้ เพราะมีธรรมเป็นผู้คุ้มครอง คือ หิริ โอตตัปปะ เป็นผู้คุ้มครอง คำว่า โลก นั้น หมายเอาหมู่สัตว์ที่อาศัยแผ่นดินทั้งหมด ไม่ได้หมายเอาทวีปหลาย ๆ ทวีปมารวมกัน

      หิริ แปลว่า ความละอายแก่ใจ โอตตัปปะ แปลว่า ความเกรงกลัว ซึ่งต่างกัน หิริ ได้แก่ ความละอายแก่ใจ ตะขิดตะขวงใจต่อความชั่วของตนเอง ในการที่จะประพฤติทุจริต
     โอตตัปปะ ได้แก่ความหวั่นกลัวความไม่กล้าทำผิดเพราะคำนึงถึงผลแห่งบาปด้วยตนเอง คือ เกิดความคิดกลัวขึ้น ในสันดาน ของตนเอง.


ถ้าคนเราไม่มีหิริ และ โอตตัปปะแล้ว ต่างคนต่างก็จะเบียดเบียนกันและกัน ไม่วางใจกัน ในที่ทุกสถาน จะอยู่กันอย่างไม่เป็นสุข.
หิริ โอตตัปปะ จึงมีคุณหลายสถาน ให้มีความเกลียดชังต่อบาปทุจริตสะดุ้งกลัวต่อผลอกุศลกรรม ไม่กล้าทำความชั่ว ได้รับความสุขสำราญทั่วกัน ให้เว้นทุจริต ประกอบสุจริต มีเมตตาอารีต่อกัน ควบคุมกันอยู่โดยเป็นหมวดหมู่ ต่างวางใจในชีวิตและทรัพย์ของกันและกัน

มีลักษณะ และอุปมาต่างกัน ดังนี้
- หิริ มีลักษณะ สยะแสยงต่อการทำบาป อุปมาเหมือน บุคคลผู้รักสวยรักงาม เกลียดชังสิ่งโสโครก ฉะนั้น- โอตตัปปะ มีลักษณะ สะดุ้งกลัวต่อการทำบาป อุปมาเหมือน บุคคลผู้ซึ่งหวาดกลัวต่ออสรพิษ แม้ตัวเล็กก็ไม่กล้าเข้าใกล้
ส่วนธรรมที่ทำลายโลก คือ อหิริกะ ความไม่มีหิริ ความไม่ละอาย
อโนตตัปปะ ความไม่มีโอตตัปปะ ความไม่เกรงกลัวต่อบาป
ธรรม ๒ ประการนี้ มีประจำใจย่อมประพฤติสุจริตทั้งต่อหน้าและลับหลัง เมื่อมนุษย์ทำแต่ความดี ย่อมมีแต่ความเจริญ ความเสื่อมไม่มี เมื่อมนุษย์เจริญ พิภพก็เจริญขึ้นตาม ท่านจึงเรียกธรรม ๒ ประการ นี้ว่า เป็นเครื่องอภิบาล คือ คุ้มครองโลก ทั้งภายนอก (พิภพซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย) และภายใน (หมู่สัตว์)
ธรรมทั้ง หิริ โอตตัปปะ เป็นโลกบาล คุ้มครองโลก คือ ป้องกันหมู่สัตว์ให้ดำรงอยู่โดยสันติสุขตามวิสัยของสัตว์โลก
ที่เรียกว่า สุกกธรรม เพราะเป็นธรรมฝ่ายกุศลอันเปรียบด้วยสีขาวและเป็นไปเพื่อความผ่องแผ้วแห่งจิต
ที่เรียกว่า เทวธรรม เพราะเป็นธรรมทำบุคคลให้เป็นเทวดาหรือให้เป็นผู้รุ่งเรืองธรรม คือหิริ และโอตตัปปะ เป็นเครื่องปกครองคนและรักษาน้ำใจคน เป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งห้ามปรามไม่ให้กล้าทำความชั่วลงได้ แม้มีโอกาสที่จะกระทำ เมื่อเข้าใจว่าการที่จะทำ เป็นความชั่วแล้ว ก็รู้สึกละอาย หวาดหวั่นใจไม่อาจทำลง เพราะถือหิริ โอตตัปปะเป็นใหญ่ โลกจึงมีความสุข และตั้งอยู่ยั่งยืนสืบมา

วันจันทร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ทุกะ คือ หมวด ๒

 ธรรมมีอุปการมาก ๒ อย่าง

                                                            ๑    สติ   คือ ความระรึกได้
                                                            ๒     สัมปชัญญะ คือ ความรู้ตัว
หลักธรรม  2 ประการนี้  คือ 
อธิบายตามศัพท์
      . สติ แปลว่า ความระลึก หรือความระลึกได้ สติมีความระลึก
เป็นลักษณะ มีความไม่ลืมเลือนเป็นกิจ มีการควบคุมเป็นเครื่องปรากฏ ( เป็นต้นว่า เราจะกำหนดสติโดยการดูลมหายใจเข้า-ออก ระหว่างที่ปลายจมูก กับสะดือ สองจุดนี้ เมื่อลมเข้าเรา ก็ ทำความรู้สึก ดูที่ปลายจมูก เมื่อลมถึงสะดือ เราก็ ทำความรู้สึก ดูที่สะดือ แล้วก็ปล่อยลมออก อย่างนี้เรียกว่า ฝึกสติ)
      หมายความว่า ลักษณะเครื่องกำหนดของสตินั้น ก็คือ ความระลึก หรือความนึกคิด ใน ๓ กาล ที่เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคตได้กล่าวคือ ระลึกถึงการกระทำ ที่เคยทำมาแล้ว คำที่เคยพูดไว้แล้ว รูปที่เคยได้เห็นมาแล้ว เสียงที่เคยได้ยิน ได้ฟังมาแล้ว กลิ่นที่เคยได้สูดดมแล้ว รสที่เคยลิ้มลองแล้ว โผฏฐัพพะที่เคยได้สัมผัสแล้ว ถูกต้องธรรมะ คือเรื่องราวต่าง ๆ ที่เคยเล่าเรียนเขียนอ่านในกาลก่อน ที่ผ่านวันเวลามาแล้ว ก็ยังจำได้ นี้ เรียกว่า ระลึกอดีตกาลได้  ระลึกถึงการที่กำลังทำอยู่ หรือกำลังจะทำ คำที่กำลังพูดอยู่ หรือกำลังจะพูด เรื่องที่กำลังคิดอยู่ ได้แก่การตั้งสติกำหนดระลึกนึกคิด ในขณะที่กำลังทำอยู่นี้ ในขณะนี้ ตอนนี้ เวลานี้ได้ เรียกว่า ระลึกปัจจุบันกาลได้  ระลึกถึงเรื่อง อันจะพึงเกิดมีในกาลข้างหน้า เช่น ความตาย อันจะมีแก่ตน และบุคคลอื่น นี้เรียกว่า ระลึกเรื่องอนาคตกาลได้  กิจหรือหน้าที่ของสตินั้น ก็คือการ ไม่ลืมเรื่องอดีต ระลึกได้ทุกครั้งที่ต้องการ, ไม่เลื่อนลอย ไม่เผลอตัวในเรื่องปัจจุบัน, ไม่หวาดหวั่นฟุ้งเฟ้อในเรื่องอนาคต.
      เครื่องปรากฏของสตินั้น ก็คือ มีการป้องกันรักษา ซึ่งการทำ การพูด การคิด ทั้ง ๓ กาล ไว้มิให้หันเห ไปในทางผิดตามกิเลส ระวังให้ตั้งอยู่เฉพาะ ในทางที่ถูกเท่านั้น ประดุจผู้ขับรถ ที่ไม่ประมาทคอยบังคับพวงมาลัยรถ ให้วิ่งไปโดยปลอดภัย.
      ซึ่งความระลึกได้ ก่อนที่จะทำ จะพูด หรือคิด คืออาการของจิต ที่นึกขึ้นได้ว่าจะทำอย่างไร จะพูดอย่างไร  จึงจะถูกต้อง มีหน้าที่กระตุ้นเตือนคนเราให้ทำ ให้พูด หรือคิดในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่หลงลืมตัว โดยใช้ดุลพินิจพิจารณา อย่างรอบคอบ ก่อนแล้วจึงปฏิบัติ หรือแสดงพฤติกรรมต่างๆ ออกมา
กล่าวคือ ความไม่ประมาท ปล่อยจิตนึกคิดไปตามอารมณ์ที่ปรารถนา
     สติจึงเป็นที่ธรรมควบคุมเหนี่ยวรั้งจิตใจ ให้คิดดี ทำดี พูดดี เพราะธรรมชาติของจิต มีการนึกคิดอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าขาดสติกำกับแล้ว ก็จะเป็นความคิดที่ฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์ต่างๆ อย่างไร้ทิศทาง แต่ถ้ามีสติกำกับอยู่ ก็จะทำให้ไม่ประมาท หรือพลั้งเผลอคิดชั่ว พูดชั่ว หรือทำชั่ว เพราะสติจะทำหน้าที่คอยควบคุม รักษาสภาพจิตใจ ให้อยู่ในภาวะที่ต้องการ โดยการตรวจตราความคิดเลือกรับแต่สิ่งที่ดีงาม กีดกันสิ่งที่ไม่ดี ซึ่งตรงกันข้าม ตรึงกระแสความคิดให้เข้าที่ ทำให้จิตเป็นสมาธิได้ง่าย

    ในหน้าที่การงาน คนที่มีสติ สามารถทำงานได้ผลดียิ่ง มีความผิดพลาดน้อย หรืออาจจะไม่มีข้อผิดพลาดเลย หากขาดสติแล้ว งานต้องผิดพลาดอยู่ร่ำไป ทำให้งานล่าช้า เสร็จไม่ทันตามกำหนด ไม่สามารถพัฒนาก้าวหน้าได้

      ในการทำความดี ผู้มีสติสามารถดำเนินชีวิต อยู่ด้วยความไม่ประมาท เว้นจากการทำความชั่วทุกอย่าง กระทำแต่ความดี และทำจิตให้ผ่องแผ้ว จากกิเลสทั้งปวง สตินี้ เป็นหลักธรรม ที่มีอุปการะมาก พัฒนาจิต พิจารณารู้เท่าทัน สภาพที่แท้จริง ทำให้การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้  อย่างมีความสุข เมื่อเจริญสติ ให้มากยิ่งขึ้น สามารถจะบรรลุมรรค ผล และนิพพานได้ในที่สุด

     . สัมปชัญญะ แปลว่าความรู้ตัว สัมปชัญญะมีความไม่ฟั่นเฟือน เป็นลักษณะ มีความไตร่ตรองเป็นกิจ มีความเลือกเฟ้นเป็นเครื่องปรากฏ  หมายความว่า ลักษณะของสัมปชัญญะนี้ ได้แก่ความรู้ทั่ว รู้ชัดโดยถูกต้อง ไม่ใช่หลง ๆ ลืม ๆ หลับ ๆ ตื่น ๆ ฟั่นเฟือนในขณะยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด เป็นต้น รู้สึกตัวดีอยู่ ตื่นตัวดีอยู่ว่ากำลังยืน เดินเป็นต้น. กิจหรือหน้าที่ของสัมปชัญญะนั้น ได้แก่การพิจารณาถึงคุณโทษเป็นต้น ชิงขึ้นหน้าคอยกุมแจอยู่ทุกอิริยาบถ. เครื่องปรากฏของสัมปชัญญะนี้ ได้แก่การเลือกเฟ้น ไตร่ตรองประจำอยู่ทุกอิริยาบถในปัจจุบัน ไม่ส่งใจไปที่อื่น.
       หลักธรรมที่ควบคุม ไม่ให้บุคคลทำผิดพลาด ควบคุมพฤติกรรม ของบุคคลให้ดำเนินชีวิตอย่างถูกต้อง ควบคุมอารมณ์ไม่ให้วู่วาม รู้จักคิด ไม่ปล่อยความนึกคิดไปตามความรู้สึก ที่ชอบใจ หรือไม่ชอบใจ คอยเหนี่ยวรั้งใจ ให้ทำ พูด หรือคิดในสิ่งที่ดี เหมือนบิดามารดาคอยห้ามบุตรธิดา ไม่ให้ทำความชั่ว แนะนำให้ตั้งอยู่ในความดี เป็นธรรมที่มีอุปการะมาก เกื้อกูลอุดหนุน ในการทำความดีทุกอย่าง ให้มั่นคงดียิ่งขึ้น
    ความรู้ตัวในขณะที่กำลังทำ กำลังพูด หรือกำลังคิดอยู่ เป็นอาการของจิตที่รู้จักแยกแยะสิ่งที่ตนกำลังทำ พูด คิดอยู่นั้นว่าเป็นประโยชน์ หรือไม่เป็นประโยชน์ เหมาะกับตนหรือไม่ เป็นความสุขหรือทุกข์ และเป็นความดี หรือชั่ว หรือไม่ อย่างไร ความรู้ชัด ความรู้ตัว เป็นลักษณะ แห่งความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลานี้ เรียกว่า สัมปชัญญะ

     สัมปชัญญะเป็นธรรมที่ปฏิบัติคู่กับสติ แยกกันไม่ออก กล่าวคือสติเป็นเครื่องระลึกควบคุมยับยั้งจิตมิให้คิด พูด หรือทำชั่ว ส่วนสัมปชัญญะจะทำหน้าที่กำหนดรู้ในเวลาคิด พูด หรือทำอยู่ ดังนั้น จึงเรียกว่า สติสัมปชัญญะ
     สตินี้ จะระลึกได้ทั้งในเรื่องอดีต อนาคต และปัจจุบัน ต้องใช้ในเวลาก่อนคิด ก่อนพูด และก่อนทำ...สัมปชัญญะ รู้ตัวในปัจจุบัน ต้องใช้ในขณะที่กำลังคิด พูด และทำอยู่

    สติและสัมปชัญญะนี้จัดเป็นกุศลธรรมที่คู่กันเสมอ จะแยกจากกันมิได้ เมื่อมีสติต้องมีสัมปชัญญะ สติเปรียบเหมือนดวงไฟ ส่วนสัมปชัญญะเปรียบเหมือนแสงสว่างของดวงไฟ

          การทำหน้าที่ คนเราจำต้องมีสติสัมปชัญญะอยู่ทุกขณะ คือควรเจริญให้เกิดมีขึ้นในตนตลอดเวลา ทั้งในขณะจะทำ พูด หรือคิด เพราะสติสัมปชัญญะจะคอยคุมรักษาจิตให้ตั้งมั่นแน่วแน่ในทางที่ดีมีประโยชน์ ไม่ให้ความชั่วร้ายเข้าครอบงำจิตได้ ดังนั้น สติสัมปชัญญะจึงเป็นคุณธรรมที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิต สติจำต้องปรารถนาในที่ทั้งปวง

        สติสัมปชัญญะมีอุปการะมากแก่คนเรา โดยเป็นธรรมควบคุมเส้นทางดำเนินชีวิตไม่ให้พลั้งเผลอทำในสิ่งที่ไม่สมควร ท่านเปรียบเหมือนหางเสือ ที่คอยกำหนดทิศทางไม่ให้เรือแล่นไปเกยตื้น เป็นเครื่องปลุกเร้าให้บุคคลมีเหตุผล รู้จักไตร่ตรองด้วยปัญญา และสนับสนุนธรรมคือการรู้จักคิดอย่างมีเหตุผล

         พฤติกรรมของผู้มีสติสัมปชัญญะ จะแสดงออกมาในลักษณะที่พิจารณาด้วยปัญญาแล้ว บริโภคอาหาร รู้จักประมาณ รู้จักคุณโทษของอาหารที่จะบริโภค ไม่เผลอสติในการทำงาน มีความรอบคอบ ระมัดระวังในการทำกิจ เป็นต้น

        ผู้มีสติสัมปชัญญะย่อมมีความสำนึกรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ว่าตัวเองเป็นใคร มีหน้าที่อย่างไร เมื่อปฏิบัติหน้าที่อยู่ รู้ตัวอยู่เสมอว่าตัวเองกำลังทำอะไร ดีหรือชั่ว เป็นคุณหรือโทษ เท่ากับว่าควบคุมตัวเองไว้ได้ตลอดเวลา

          ด้วยความสำคัญดังกล่าวมานี้ ท่านจึงจัดสติสัมปชัญญะว่า เป็นธรรมมีอุปการะมาก 
เพราะเป็นเครื่องนำมา ซึ่งประโยชน์เกื้อกูล ในกิจการทุกอย่าง เหมือนความไม่ประมาท เป็นอุปการะในการบำเพ็ญศีล เป็นอุปการะธรรมอุดหนุน ให้สำเร็จกิจในทางดีก็ได้ ทางชั่วก็ได้ แต่ในที่นี้หมายเอาเฉพาะในทางดี.

      ป็นคุณธรรม  ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ของคนเรา และเป็นธรรมมีอุปการะ ให้กุศลธรรมอื่นๆ เกิดขึ้นดำรงมั่นคงอยู่ในจิตได้
     
      สติ และ สัมปชัญญะ ทั้งสองนี้ จึงชื่อว่า มีอุปการะมาก เพราะว่า ธรรม ๒ ประการนี้ มีอยู่แก่ผู้ใด ผู้นั้นกระทำกิจใด ๆ จะบำเพ็ญศีล เจริญสมาธิ ปัญญาก็ตามจะเล่าเรียนเขียนอ่านก็ตาม ประกอบการงานอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม โดยที่สุด แม้จะลุกจะนั่งจะยืนจะเดินโดยมีสติสัมปชัญญะเสมอ กิจนั้น ๆ ย่อมสำเร็จด้วยดี ไม่ผิดพลาด ปราศจากภยันตรายทุกประการ ในที่ทุกสถาน และในกาลทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น ธรรม ๒ ประการนี้ จึงชื่อว่า มีอุปการะมาก ดังนี้แล.